วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

โจโฉ จอมคนในสามก๊ก



โจโฉ จอมคนในสามก๊ก

โจโฉ (ค.ศ. 155-220) เป็น “นักบริหาร” ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ความสามารถของโจโฉได้รับการยกย่องทั้งด้านวรรณกรรมและการเมืองการทหาร
โจโฉในวัยเด็กเป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบ ฉลาดแกมเจ้าเล่ห์ พลิกแพลงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง แต่ไม่ค่อยอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ ออกแนวเด็กมีปัญหา ชอบเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ กับพรรคพวกร่วมก๊วนอย่างอ้วนเสี้ยว

แม้ในสายตาผู้อื่นแล้ว โจโฉจะเป็นเด็กเหลือขอเพียงใด แต่ยังมีคนที่มองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวของโจโฉ คนผู้นั้นคือ “เฉียวเสวียน” หรือเกียวเหี้ยน (ค.ศ.108-183) เฉียวเสวียนคนนี้อายุมากกว่าโจโฉถึง 47 ปี และชื่นชมโจโฉมาก ถึงขนาดคบหากันเป็นเพื่อนต่างวัย เฉียวเสวียนเห็นว่าโจโฉนั้นไม่ธรรมดา และมักพูดกับคนรอบข้างว่า

โจโฉผู้นี้ทำงานไม่ยึดแบบแผน แม้จะเกกมะเหรกเกเรบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่หาใช่นักเลงหัวไม้ไม่ เป็นคนมีปัญญาไหวพริบ มีหลักการ กล้าทำกล้าตัดสินใจ ในกลียุคเช่นนี้ต้องอาศัยคนอย่างเขานี่แหละ

และยังไม่เอ่ยกับโจโฉว่า “บ้านเมืองกำลังเข้าสู่กลียุค ผู้ที่จะกอบกู้บ้านเมืองได้นั้น ต้องเป็นท่านอย่างแน่นอน

            เขาเฉียว นักวิจารณ์ชื่อดังในยุคนั้น ได้วิจารณ์โจโฉว่า “ท่านนั้นเป็นยอดขุนนางยามผาสุก เป็นทรราชยามกลียุค” คำวิจารณ์นี้ทำให้ผู้คนถกเถียงกันมาเกือบสองพันปีว่า โจโฉนั้นเป็นยอดขุนนางผู้ภักดี หรือทรราชแห่งกลียุคกันแน่ ฝ่ายหนึ่งก็ว่าโจโฉเป็นยอดขุนนางค้ำชูยืดอายุราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ฝ่ายหนึ่งก็ว่าโจโฉเป็นทรราชที่คุกคามราชบัลลังก์ ต่างฝ่ายต่างอ้างเหตุผลมาสนับสนุนความคิดของตน

            เมื่อมีอายุครบ 20 ปี โจโฉก็มีโอกาสเป็นข้าราชการฝึกหัด และได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกองเมืองลั่วหยาง (ลกเอี๋ยง) ตอนเหนือ มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตพื้นที่ เนื่องจากเมืองลั่วหยางเป็นเมืองหลวง ผู้อาศัยมีตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาไปจนถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่และราชนิกูล จะผ่อนผันกฎระเบียบก็ถูกชาวบ้านต่อว่า เข้มงวดกวดขันก็เจอเส้นก๋วยจั๊บอีก แต่โจโฉก็พยายามทำหน้าที่เป็นอย่างดี มีการเปลี่ยนแปลงตกแต่งสถานที่ทำงาน นำกระบองมาแขยนไว้ข้างประตูให้ดูขึงขังและติดประกาศไว้ว่า “ผู้ทำผิดกฎหมาย ไม่ว่ายากดีมีจน ต้องถูกลงโทษสถานหนัก

ครั้นมีผู้คิดจะลองของ คู่ความเป็นญาติผู้ใหญ่ของขันทีคนสนิทกษัตริย์เลนเต้ ถือดีว่ามีเส้นใหญ่ ดื่มเหล้าเมามายแล้วออกมาเดินโต๋เต๋บนถนน ท้าทายคำสั่งประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านหลังสามทุ่มของราชสำนัก โจโฉนั้นไม่ยอมอ่อนข้อจึงจัดการประหารตามกฎหมาย นับแต่นั้นมาชื่อเสียงความเด็ดขายของโจโฉก็เป็นที่เลื่องลือ 

            เสน่ห์ของโจโฉ โจโฉเป็นตัวละครที่มีสีสันที่สุดในวรรณกรรมสามก๊ก มีอารมณ์ขันแอบซ่อนอยู่ในความเหี้ยมโหด ในเวลาปกติโจโฉมักจะหยอดล้อกับลูกน้องเพื่อฝูง มีอยู่ครั้งหนึ่งโจโฉเดินทางไปเซ่นไหว้เฉียวเสวียนเพื่อนต่างวัยที่มองเห็นความเป็นจอมคนในตัวโจโฉตั้งแต่วัยหนุ่ม โจโฉกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีแบบเชิงหยอกล้อว่า

ตาเฒ่าเฉียวเคยแกล้งขู่ว่า “หลังข้าตายไปแล้ว หากเจ้าโจโฉเดินผ่านหลุมฝังศพข้าแล้วไม่เซ่นข้าด้วยไก่สักตัว สุราสักขวดละก็ ผ่านไปสามก้าวเกิดปวดท้องปวดไส้ขึ้นมา จะโทษข้าไม่ได้นะ” ฟังดูสนิทสนมกินใจกว่าอ่านสุนทรพจน์อย่างเป็นทางการเสียอีก

            โจโฉเป็นคนพูดจาเปิดเผย ตรงไปตรงมาไม่ปิดบังได้เขียนแถลงการณ์ฉบับหนึ่งอย่างตรงไปตรงมาว่า “เดิมทีข้าหาได้เป็นคนทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงไม่ มีอุดมการณ์เพียงต้องการเป็นเจ้าเมืองที่ดีคนหนึ่ง ต่อมาได้นำทัพจับศึกก็หวังเป็นแม่ทัพขุนศึก แต่สถานการณ์กลังผลักดันให้มาอยู่ในตำแหน่งนี้ ลองคิดดูว่าหากแผ่นดินนี้ไม่มีข้าสักคน ไม่รู้จะแตกแยกขนาดไหน จะมีคนเท่าใดตั้งตนเป็นอ๋อง กี่คนตั้งตนเป็นกษัตริย์ แน่นอนว่าลับหลังย่อมมีคนติฉินนินทา แต่ข้าบอกกับพวกท่านอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาได้เลยว่า จะหวังให้ข้าปล่อยวางงานราชการ ละทิ้งอำนาจทางการทหาร กลับบ้านเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานนั้นไม่มีทาง ทำไมน่ะหรือ..ขืนเลิกเสียตอนนี้มีหวังบ้านเมืองวุ่นวาย ซ้ำยังมีหวังถูกคิดบัญชีย้อนหลัง ฉะนั้นอำนาจในมือข้าไม่ปล่อย บ้านเมืองยังไม่สงบข้าไม่ยอมลงจากตำแหน่งอย่างแน่นอน

ด้วยนิสัยขี้เล่นมีอารมณ์ขันตรงไปตรงมานี่เองที่มีส่วนช่วยให้โจโฉประสบความสำเร็จในทางการเมือง ดังเช่น ครั้งหนึ่ง ติงเผย คนในหมู่บ้านเดียวกันกับโจโฉ เป็นคนละโมบ ขี้งก ถูกปลดจากตำแหน่งเพราะใช้อำนาจหน้าที่สลับเปลี่ยนวัวตัวผอมโซที่ตนเลี้ยงกับวัวของหลวงที่อ้วยพี พอเจอหน้ากัน โจโฉก็เรียกชื่อเล่นอย่างสนิทสนทและแกล้งถามไปว่า

ตราแต่งตั้งตำแหน่งของเจ้าไปไหนเสียแล้วล่ะ

ติงเผยตอบกลับอย่างเขินๆ ว่า “เอาไปแลกขนมเปี๊ยะมากินเสียแล้วท่าน

โจโฉหัวเราะชอบใจแล้วพูดกับผู้ติดตามว่า “มีหลายคนมาเซ้าซี้ให้ข้าลงโทษติงเผยสถานหนัก แต่ข้าว่าเจ้าแมวขโมยที่จับหนูเก่งอย่างติดเผยนี้ เก็บไว้ยังมีประโยชน์อยู่นะ

            แม้แต่จดหมายที่เป็นทางการบางครั้งก็ยังสอดใส่อารมณ์ขัน อย่างเช่น จดหมายเกลี้ยกล่อมเอี๋ยนสิง ตอนรบอยู่กับ ฮันซุย บิดาของเอี๋ยนสิงถูกโจโฉจับเป็นตัวประกัน โจโฉเขียนจดหมายไปหาเอี๋ยนสิงมีใจความว่า

“บิดาของท่านยามนี้อยู่สุขสบายดี แต่ห้องขังหาใช่สถานที่เหมาะสำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ไม่ และประเทศก็หามีหน้าที่ดูแลบิดามารดาให้ผู้ใดนานๆ ไม่”

            โจโฉเน้นเรื่องการบริหารคน โดยเฉพาะการคัดเลือกคนที่มีความสามารถ จัดคนให้เหมาะกับงานที่มอบหมาย ถือคติว่า “ไม่ว่าแมวขาว แมวดำ จับหนูได้ก็เป็นแมวที่ดี” นั่นคือการเลือกคนจากความสามารถโดยไม่ถืออคติต่อภูมิหลัง ขอเพียงมีความสามารถตรงตามที่ต้องการ โจโฉจะเปิดโอกาสให้แสดงฝีมือเต็มที่

            การเป็นลูกน้องโจโฉต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา จะมาเอ้อระเหยลอยชายไม่ได้ การแข่งขันภายในสูงมากเพราะเต็มไปด้วยคนเก่ง ความที่เป็นรักคนเก่งๆ ของโจโฉ เห็นใครเก่งก็อดไม่ได้ที่จะดึงตัวมาอยู่เป็นพวก ขนาดกวนอูฆ่าแม่ทัพนายด่านของโจโฉไปตั้งมากมายระกว่างทางกลับไปหาเล่าปี่ โจโฉยังให้อภัย หรือ เห็นจูล่งแสดงความเก่งกล้าสามารถที่เนินเตียงปันก็สั่งห้ามทหารยิงลูกเกาทัณฑ์ใส่ โจโฉจึงมีทั้งกุนซือและยอดขุนพลมากที่สุด บุคลากรที่มีคุณภาพเปรียบเสมือนทรัพยากรสำคัญขององค์กร จึงไม่น่าแปลกใจที่วุยก๊กจะเป็นกลุ่มที่เข้มแข็งที่สุดในยุคสามก๊ก
            เกณฑ์ประเมินผลที่ยุติธรรมจะเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ โจโฉวัดคนจากผลงาน ใครทำถูกใจก็ได้ความดีความชอบไป ใครผิดพลาดก็ถูกลงโทษ ดังนั้นลูกน้องของโจโฉไม่ว่าเป็นใครมาจากไหนก็ได้โอกาสที่เท่าเทียมกัน

โจโฉนั้นรู้นิสัยและความสามารถของลูกน้องทุกคนเป็นอย่างดี การมีลูกน้องเก่งเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ คนเป็นหัวหน้ายังจำเป็นต้องรู้จักลูกน้องอย่างลึกซึ้ง และจัดสรรหน้าที่ให้เหมาะสมกับความสามารถ

โจโฉเลือกคนไม่ยึดศักดินา ไม่ยึดพวกพ้องเครือญาติ วัดกันที่ความสามารถ แถมยังเป็นเจ้านายที่กล้าทำกล้ารับ ตัดสินใจผิดพลาดรบแพ้กลับมาก็ไม่โทษลูกน้อง รบชนะก็ยังยกความดีความชอบให้ลูกน้องอีกต่างหาก

มีคำพูดหนึ่งของโจโฉที่กลายเป็นสโลแกนประจำตัว “ข้ายอมทรยศต่อคนทั้งหล้า แต่ไม่ยอมให้ผู้ใดทรยศข้า” บ่งบอกความเป็นผู้นำแบบเผด็จการที่เก่งจนน่ากลัวได้เป็นอย่างดี

โจโฉชื่นชมคนเก่งคนมีความสามารถ แต่ไม่มีวันยอมให้คนเก่งมีความสามารถเหล่านั้นมาคุกคามตนเองได้  เพื่อบรรลุเป้าหมายในภายภาคหน้าแล้ว โจโฉมีความอดทนมากพอที่จะละเว้นโทษให้แม้แต่ศัตรูที่ฆ่าลูกอย่างเตียวสิ้ว แต่โจโฉหาได้ใจกว้างให้อภัยศัตรูไม่ เพียงแต่ว่าสถานการณ์ยังไม่อำนวยหรือยังมีประโยชน์ใช้งานได้อยู่จึงต้องละเว้นไว้ก่อน โจโฉละเว้นเฉพาะคนที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเท่านั้น ในทางกลับกัน หากทำตัวเป็นภัยคุกคามหรือหมดประโยชน์วันใด โจโฉก็ไม่ลังเลที่จะกำจัดให้พ้นทางในทันที ตัวตัวอย่างจุดจบของซุนฮกและเอียวสิ้ว

            จริงๆ แล้วโจโฉไม่ใช่คนใจจืดใจดำ ขอเพียงมีความสามารถจริงทำงานทุ่มเท รู้กาลเทศะไม่ขัดคอ ไม่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัย โจโฉดูแลอย่างดี ดูอย่างตันหลิม ที่เป็นคนร่างจดหมายด่าโจโฉให้กับอ้วนเสี้ยวจนโจโฉเหงื่อตกใจศึกกัวต๋อ จบศึกตันหลิมถูกจับได้ โจโฉถามเพียงด่าข้าคนเดียวก็น่าจะเพียงพอ แล้วเหตุใดเจ้าต้องด่ากันถึงสามชั่วโคตรเล่า ตันหลิมสารภาพบาปไปว่า

เกาทัณฑ์ขึงอยู่บนสายแล้ว มิอาจไม่ปล่อยออกไป” ตอบแค่นี้โจโฉก็ให้อภัยแล้วซ้ำยังมอบตำแหน่งขุนนางให้อีกต่างหาก

            ชีวิตของโจโฉ ถือได้ว่าประสบความสำเร็จสูงสุด สามารถสร้างอิทธิพลครองพื้นที่หนึ่งในสามของประเทศจีน ความผิดพลาดครั้งใหญ่คือการปล่อยให้เล่าปี่หนีหลุดมือไปได้ ผลงานยอดเยี่ยมคือการรบชนะอ้วนเสี้ยวที่มีทหารมากกว่าตนถึง 10 เท่าในยุทธการกัวต๋อ พ่ายแพ้อย่างยังเยินที่สุดคือ การเสียท่าให้กับพันธมิตรเล่าปี่ ซุนกวนในยุทธการเซ็กเพ็ก ได้รับการยกย่องทั้งด้านวรรณกรรมและการบริหาร ถูกโจมตีเรื่องความโหดร้ายอำมหิต ไม่ว่าจะวิจารณ์อย่างไรล้วนแล้วแต่เป็นที่ถกเถียงกันไม่จบสิ้น เพราะเรื่องราวของโจโฉมีประเด็นให้ศึกษามากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ ถ้าสามก๊กขาดตัวละครโจโฉสักคนแล้ว หนังสือสามก๊กคงขาดเสน่ห์ไปอย่างสิ้นเชิง ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น