วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

ว่านมหากาฬ แก้เริม-งูสวัด




ว่านมหากาฬ แก้เริม งูสวัด



            โรคเริม เป็นอีกโรคหนึ่งที่มีคนเป็นกันเยอะ เป็นแล้วปวดแสบปวดร้อน บางคนเป็นในที่ลับต้องไปพบแพทย์ให้ช่วยรักษา
            ในทางสมุนไพร ตำรายาแผนไทย ระบุว่า ให้เอาใบสดของว่านมหากาฬ หรือ รวมกับรากสด จำนวนพอประมาณ หรือตามแต่จะหาได้ ตำพอละเอียดพอกบริเวณที่เป็นเริม หรือเป็นงูสวัด จะช่วยถอนพิษปวดแสบปวดร้อนและทำให้งูสวัด หรือเริม แห้งและหายได้
            รากเดี่ยวๆ ชนิดสดของว่านมหากาฬ ยังนำไปต้มน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ได้อีกด้วย นิยมใช้กันมาแต่โบราณ
            ว่ามหากาฬ หรือ GYNURA PSEUDOCHINA DC. VAR.HISPIDA THY. อยู่ในวงศ์ COMPOSITAE เป็นไม้ล้มลุกมีรากใหญ่ สามารถเรื้อยยาวไปตามพื้นดิน ลำต้นอวบน้ำ ชูยอดตั้งขี้น ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับเวียนรอบต้น ใบเป็นรูปใบหอก ขอบใบหยักห่างๆ หลังใบเป็นสีม่วง มีขน เส้นใบสีเขียวแกมเทา ยอดอ่อนมีขนละเอียดหนาแน่น เวลามีใบดกสีสันของใบจะสวยงามน่าชมมาก
            ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด ลักษณะดอกคล้ายดอกดาวเรือง มีกลีบดอกเป็นสีเหลืองทอง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามมาก
            ผลแห้งไม่แตกอ้า มีเมล็ดเยอะ ดอกออกทั้งปี

ปวดใบหน้า จากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 อักเสบ



โรคปวดเส้นประสาทใบหน้า เป็นอาการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ซึ่งทำหน้าที่รับความรู้สึกบนใบหน้า แม้ไม่ใช่โรคที่อันตราย แต่ก็เจ็บปวดทรมานสำหรับผู้ที่เป็น
      
       
สาเหตุของอาการปวดใบ หน้า เกิดจากการที่เส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ถูกหลอดเลือดสมอง หรือเนื้องอกมากดทับ ทำให้มีอาการปวดเฉียบพลันเป็นระยะเวลาสั้นๆ ที่ใบหน้าข้างใดข้างหนึ่ง คล้ายเข็มทิ่มแทง หรือไฟฟ้าช็อตที่ใบหน้าอย่างแรง อาการปวดมักเกิดขึ้นเอง หรือถูกกระตุ้นโดยเสียง หรือการสัมผัสถูกใบหน้า เช่น โดนลม ในขณะที่แปรงฟัน เคี้ยวอาหาร หรือเวลาดื่มน้ำก็ได้ มักพบในวัยผู้ใหญ่ถึงผู้สูงอายุ
      
       การตรวจวินิจฉัย อาจส่งตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และเจาะเลือดหาสาเหตุของโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายคลึงกัน เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และเมื่อทราบสาเหตุแน่ชัดว่า เกิดจาก เส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 แล้ว
      
       การรักษาเบื้องต้น จะให้ผู้ป่วยกินยา เช่น ยากันชัก ยารักษาโรคไมเกรน ยาต้านซึมเศร้า ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดและลดจำนวนครั้งที่ปวดได้ แต่ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ จึงมักพบอยู่บ่อยครั้งเมื่อผู้ป่วยหยุดยา หรือกินยาไปสักระยะหนึ่ง อาการปวดจะกลับมาเป็นซ้ำอีก
      
       วิธีรักษาต่อมา คือ ทำลายเส้นประสาทด้วยรังสี gamma knife ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัย และได้ผลดี ใช้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือในรายที่มีอายุมาก ทนต่อการผ่าตัดนานๆ ไม่ไหว แต่มีผลข้างเคียง คือ จะมีอาการชาที่ใบหน้า และสุดท้าย รักษาด้วยการผ่าตัด เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดและโอกาสหายขาดจากโรคก็สูง อีกทั้งผู้ป่วยจะไม่มีปัญหาใบหน้าชา เนื่องจากเส้นประสาทถูกทำลาย โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดสมองเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของเส้นเลือด เนื่องจากโรคปวดเส้นประสาทใบหน้า ส่วนใหญ่เกิดจากการที่มีเส้นเลือดสมองไปกดเบียดเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ซึ่งการผ่าตัดจะได้ผลดี ถ้าเริ่มผ่าตั้งแต่ระยะแรกๆ เพราะหากทิ้งไว้นาน เส้นประสาทจะถูกทำลายมากขึ้น ทำให้อัตราการเป็นซ้ำเพิ่มมากขึ้นได้
      
       ทั้งนี้ ผู้ที่จะผ่าตัด ควรงดยาที่มีส่วนผสมกลุ่มแอสไพริน หรือไอบิวโพรเฟน ก่อนและหลังผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อลดอาการฟกช้ำจากปัญหาเลือดคั่ง พร้อมแจ้งประวัติการแพ้ยา และโรคประจำตัว ให้แพทย์ทราบก่อนการผ่าตัดด้วย

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

สาระน่ารู้ - นึ่งข้าวเหนียว ให้น่ารับประทานยิ่งกว่าเคย





นึ่งข้าวเหนียว ให้น่ารับประทานยิ่งกว่าเคย
            นำข้าวเหนียวไปแช่น้ำที่แกว่งน้ำสารส้มประมาณ ๕ นาที จากนั้นซาวน้ำออก ๒-๓ ครั้ง และแช่ข้าวเหนียวในน้ำเปล่าทั้งไว้ค้างคืน


สาระน่ารู้ - สะระแหน่ แก้กลาก-เกลื้อน





สะระแหน่ แก้กลาก-เกลื้อน
            กลาก เกลื้อนเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง มีลักษณะขอบผิวหนังเป็นดวงอย่างเห็นได้ชัด หรือเป็นปื้นแดง หรือดำก็ได้
            เกลื้อนเป็นเชื้อราที่ชอบไขมัน จึงพบบ่อยๆ ในบริเวณที่มีต่ำน้ำมันมาก เช่น ที่หลัง หน้าอก สะโพก ขา ใครที่เป็นเกลื้อนต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดอย่างทั่วถึง หมั่นเปลี่ยนผ้าปูที่นอน และปลอกหมอนบ่อยๆ อย่าใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ และต้องซักให้สะอาดจริงๆ
วิธีแก้     นำใบสะระแหน่มาขยี้จนได้น้ำ ๔-๕ หยด นำมาทาตรงที่เป็นกลาก-เกลื้อน ทาทั้งเช้า-เย็น ประมาณ ๑ สัปดาห์ บริเวณที่เป็นจะดีขึ้น

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

โจโฉ จอมคนในสามก๊ก



โจโฉ จอมคนในสามก๊ก

โจโฉ (ค.ศ. 155-220) เป็น “นักบริหาร” ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ความสามารถของโจโฉได้รับการยกย่องทั้งด้านวรรณกรรมและการเมืองการทหาร
โจโฉในวัยเด็กเป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบ ฉลาดแกมเจ้าเล่ห์ พลิกแพลงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง แต่ไม่ค่อยอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ ออกแนวเด็กมีปัญหา ชอบเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ กับพรรคพวกร่วมก๊วนอย่างอ้วนเสี้ยว

แม้ในสายตาผู้อื่นแล้ว โจโฉจะเป็นเด็กเหลือขอเพียงใด แต่ยังมีคนที่มองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวของโจโฉ คนผู้นั้นคือ “เฉียวเสวียน” หรือเกียวเหี้ยน (ค.ศ.108-183) เฉียวเสวียนคนนี้อายุมากกว่าโจโฉถึง 47 ปี และชื่นชมโจโฉมาก ถึงขนาดคบหากันเป็นเพื่อนต่างวัย เฉียวเสวียนเห็นว่าโจโฉนั้นไม่ธรรมดา และมักพูดกับคนรอบข้างว่า

โจโฉผู้นี้ทำงานไม่ยึดแบบแผน แม้จะเกกมะเหรกเกเรบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่หาใช่นักเลงหัวไม้ไม่ เป็นคนมีปัญญาไหวพริบ มีหลักการ กล้าทำกล้าตัดสินใจ ในกลียุคเช่นนี้ต้องอาศัยคนอย่างเขานี่แหละ

และยังไม่เอ่ยกับโจโฉว่า “บ้านเมืองกำลังเข้าสู่กลียุค ผู้ที่จะกอบกู้บ้านเมืองได้นั้น ต้องเป็นท่านอย่างแน่นอน

            เขาเฉียว นักวิจารณ์ชื่อดังในยุคนั้น ได้วิจารณ์โจโฉว่า “ท่านนั้นเป็นยอดขุนนางยามผาสุก เป็นทรราชยามกลียุค” คำวิจารณ์นี้ทำให้ผู้คนถกเถียงกันมาเกือบสองพันปีว่า โจโฉนั้นเป็นยอดขุนนางผู้ภักดี หรือทรราชแห่งกลียุคกันแน่ ฝ่ายหนึ่งก็ว่าโจโฉเป็นยอดขุนนางค้ำชูยืดอายุราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ฝ่ายหนึ่งก็ว่าโจโฉเป็นทรราชที่คุกคามราชบัลลังก์ ต่างฝ่ายต่างอ้างเหตุผลมาสนับสนุนความคิดของตน

            เมื่อมีอายุครบ 20 ปี โจโฉก็มีโอกาสเป็นข้าราชการฝึกหัด และได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกองเมืองลั่วหยาง (ลกเอี๋ยง) ตอนเหนือ มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตพื้นที่ เนื่องจากเมืองลั่วหยางเป็นเมืองหลวง ผู้อาศัยมีตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาไปจนถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่และราชนิกูล จะผ่อนผันกฎระเบียบก็ถูกชาวบ้านต่อว่า เข้มงวดกวดขันก็เจอเส้นก๋วยจั๊บอีก แต่โจโฉก็พยายามทำหน้าที่เป็นอย่างดี มีการเปลี่ยนแปลงตกแต่งสถานที่ทำงาน นำกระบองมาแขยนไว้ข้างประตูให้ดูขึงขังและติดประกาศไว้ว่า “ผู้ทำผิดกฎหมาย ไม่ว่ายากดีมีจน ต้องถูกลงโทษสถานหนัก

ครั้นมีผู้คิดจะลองของ คู่ความเป็นญาติผู้ใหญ่ของขันทีคนสนิทกษัตริย์เลนเต้ ถือดีว่ามีเส้นใหญ่ ดื่มเหล้าเมามายแล้วออกมาเดินโต๋เต๋บนถนน ท้าทายคำสั่งประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านหลังสามทุ่มของราชสำนัก โจโฉนั้นไม่ยอมอ่อนข้อจึงจัดการประหารตามกฎหมาย นับแต่นั้นมาชื่อเสียงความเด็ดขายของโจโฉก็เป็นที่เลื่องลือ 

            เสน่ห์ของโจโฉ โจโฉเป็นตัวละครที่มีสีสันที่สุดในวรรณกรรมสามก๊ก มีอารมณ์ขันแอบซ่อนอยู่ในความเหี้ยมโหด ในเวลาปกติโจโฉมักจะหยอดล้อกับลูกน้องเพื่อฝูง มีอยู่ครั้งหนึ่งโจโฉเดินทางไปเซ่นไหว้เฉียวเสวียนเพื่อนต่างวัยที่มองเห็นความเป็นจอมคนในตัวโจโฉตั้งแต่วัยหนุ่ม โจโฉกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีแบบเชิงหยอกล้อว่า

ตาเฒ่าเฉียวเคยแกล้งขู่ว่า “หลังข้าตายไปแล้ว หากเจ้าโจโฉเดินผ่านหลุมฝังศพข้าแล้วไม่เซ่นข้าด้วยไก่สักตัว สุราสักขวดละก็ ผ่านไปสามก้าวเกิดปวดท้องปวดไส้ขึ้นมา จะโทษข้าไม่ได้นะ” ฟังดูสนิทสนมกินใจกว่าอ่านสุนทรพจน์อย่างเป็นทางการเสียอีก

            โจโฉเป็นคนพูดจาเปิดเผย ตรงไปตรงมาไม่ปิดบังได้เขียนแถลงการณ์ฉบับหนึ่งอย่างตรงไปตรงมาว่า “เดิมทีข้าหาได้เป็นคนทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงไม่ มีอุดมการณ์เพียงต้องการเป็นเจ้าเมืองที่ดีคนหนึ่ง ต่อมาได้นำทัพจับศึกก็หวังเป็นแม่ทัพขุนศึก แต่สถานการณ์กลังผลักดันให้มาอยู่ในตำแหน่งนี้ ลองคิดดูว่าหากแผ่นดินนี้ไม่มีข้าสักคน ไม่รู้จะแตกแยกขนาดไหน จะมีคนเท่าใดตั้งตนเป็นอ๋อง กี่คนตั้งตนเป็นกษัตริย์ แน่นอนว่าลับหลังย่อมมีคนติฉินนินทา แต่ข้าบอกกับพวกท่านอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาได้เลยว่า จะหวังให้ข้าปล่อยวางงานราชการ ละทิ้งอำนาจทางการทหาร กลับบ้านเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานนั้นไม่มีทาง ทำไมน่ะหรือ..ขืนเลิกเสียตอนนี้มีหวังบ้านเมืองวุ่นวาย ซ้ำยังมีหวังถูกคิดบัญชีย้อนหลัง ฉะนั้นอำนาจในมือข้าไม่ปล่อย บ้านเมืองยังไม่สงบข้าไม่ยอมลงจากตำแหน่งอย่างแน่นอน

ด้วยนิสัยขี้เล่นมีอารมณ์ขันตรงไปตรงมานี่เองที่มีส่วนช่วยให้โจโฉประสบความสำเร็จในทางการเมือง ดังเช่น ครั้งหนึ่ง ติงเผย คนในหมู่บ้านเดียวกันกับโจโฉ เป็นคนละโมบ ขี้งก ถูกปลดจากตำแหน่งเพราะใช้อำนาจหน้าที่สลับเปลี่ยนวัวตัวผอมโซที่ตนเลี้ยงกับวัวของหลวงที่อ้วยพี พอเจอหน้ากัน โจโฉก็เรียกชื่อเล่นอย่างสนิทสนทและแกล้งถามไปว่า

ตราแต่งตั้งตำแหน่งของเจ้าไปไหนเสียแล้วล่ะ

ติงเผยตอบกลับอย่างเขินๆ ว่า “เอาไปแลกขนมเปี๊ยะมากินเสียแล้วท่าน

โจโฉหัวเราะชอบใจแล้วพูดกับผู้ติดตามว่า “มีหลายคนมาเซ้าซี้ให้ข้าลงโทษติงเผยสถานหนัก แต่ข้าว่าเจ้าแมวขโมยที่จับหนูเก่งอย่างติดเผยนี้ เก็บไว้ยังมีประโยชน์อยู่นะ

            แม้แต่จดหมายที่เป็นทางการบางครั้งก็ยังสอดใส่อารมณ์ขัน อย่างเช่น จดหมายเกลี้ยกล่อมเอี๋ยนสิง ตอนรบอยู่กับ ฮันซุย บิดาของเอี๋ยนสิงถูกโจโฉจับเป็นตัวประกัน โจโฉเขียนจดหมายไปหาเอี๋ยนสิงมีใจความว่า

“บิดาของท่านยามนี้อยู่สุขสบายดี แต่ห้องขังหาใช่สถานที่เหมาะสำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ไม่ และประเทศก็หามีหน้าที่ดูแลบิดามารดาให้ผู้ใดนานๆ ไม่”

            โจโฉเน้นเรื่องการบริหารคน โดยเฉพาะการคัดเลือกคนที่มีความสามารถ จัดคนให้เหมาะกับงานที่มอบหมาย ถือคติว่า “ไม่ว่าแมวขาว แมวดำ จับหนูได้ก็เป็นแมวที่ดี” นั่นคือการเลือกคนจากความสามารถโดยไม่ถืออคติต่อภูมิหลัง ขอเพียงมีความสามารถตรงตามที่ต้องการ โจโฉจะเปิดโอกาสให้แสดงฝีมือเต็มที่

            การเป็นลูกน้องโจโฉต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา จะมาเอ้อระเหยลอยชายไม่ได้ การแข่งขันภายในสูงมากเพราะเต็มไปด้วยคนเก่ง ความที่เป็นรักคนเก่งๆ ของโจโฉ เห็นใครเก่งก็อดไม่ได้ที่จะดึงตัวมาอยู่เป็นพวก ขนาดกวนอูฆ่าแม่ทัพนายด่านของโจโฉไปตั้งมากมายระกว่างทางกลับไปหาเล่าปี่ โจโฉยังให้อภัย หรือ เห็นจูล่งแสดงความเก่งกล้าสามารถที่เนินเตียงปันก็สั่งห้ามทหารยิงลูกเกาทัณฑ์ใส่ โจโฉจึงมีทั้งกุนซือและยอดขุนพลมากที่สุด บุคลากรที่มีคุณภาพเปรียบเสมือนทรัพยากรสำคัญขององค์กร จึงไม่น่าแปลกใจที่วุยก๊กจะเป็นกลุ่มที่เข้มแข็งที่สุดในยุคสามก๊ก
            เกณฑ์ประเมินผลที่ยุติธรรมจะเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ โจโฉวัดคนจากผลงาน ใครทำถูกใจก็ได้ความดีความชอบไป ใครผิดพลาดก็ถูกลงโทษ ดังนั้นลูกน้องของโจโฉไม่ว่าเป็นใครมาจากไหนก็ได้โอกาสที่เท่าเทียมกัน

โจโฉนั้นรู้นิสัยและความสามารถของลูกน้องทุกคนเป็นอย่างดี การมีลูกน้องเก่งเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ คนเป็นหัวหน้ายังจำเป็นต้องรู้จักลูกน้องอย่างลึกซึ้ง และจัดสรรหน้าที่ให้เหมาะสมกับความสามารถ

โจโฉเลือกคนไม่ยึดศักดินา ไม่ยึดพวกพ้องเครือญาติ วัดกันที่ความสามารถ แถมยังเป็นเจ้านายที่กล้าทำกล้ารับ ตัดสินใจผิดพลาดรบแพ้กลับมาก็ไม่โทษลูกน้อง รบชนะก็ยังยกความดีความชอบให้ลูกน้องอีกต่างหาก

มีคำพูดหนึ่งของโจโฉที่กลายเป็นสโลแกนประจำตัว “ข้ายอมทรยศต่อคนทั้งหล้า แต่ไม่ยอมให้ผู้ใดทรยศข้า” บ่งบอกความเป็นผู้นำแบบเผด็จการที่เก่งจนน่ากลัวได้เป็นอย่างดี

โจโฉชื่นชมคนเก่งคนมีความสามารถ แต่ไม่มีวันยอมให้คนเก่งมีความสามารถเหล่านั้นมาคุกคามตนเองได้  เพื่อบรรลุเป้าหมายในภายภาคหน้าแล้ว โจโฉมีความอดทนมากพอที่จะละเว้นโทษให้แม้แต่ศัตรูที่ฆ่าลูกอย่างเตียวสิ้ว แต่โจโฉหาได้ใจกว้างให้อภัยศัตรูไม่ เพียงแต่ว่าสถานการณ์ยังไม่อำนวยหรือยังมีประโยชน์ใช้งานได้อยู่จึงต้องละเว้นไว้ก่อน โจโฉละเว้นเฉพาะคนที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเท่านั้น ในทางกลับกัน หากทำตัวเป็นภัยคุกคามหรือหมดประโยชน์วันใด โจโฉก็ไม่ลังเลที่จะกำจัดให้พ้นทางในทันที ตัวตัวอย่างจุดจบของซุนฮกและเอียวสิ้ว

            จริงๆ แล้วโจโฉไม่ใช่คนใจจืดใจดำ ขอเพียงมีความสามารถจริงทำงานทุ่มเท รู้กาลเทศะไม่ขัดคอ ไม่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัย โจโฉดูแลอย่างดี ดูอย่างตันหลิม ที่เป็นคนร่างจดหมายด่าโจโฉให้กับอ้วนเสี้ยวจนโจโฉเหงื่อตกใจศึกกัวต๋อ จบศึกตันหลิมถูกจับได้ โจโฉถามเพียงด่าข้าคนเดียวก็น่าจะเพียงพอ แล้วเหตุใดเจ้าต้องด่ากันถึงสามชั่วโคตรเล่า ตันหลิมสารภาพบาปไปว่า

เกาทัณฑ์ขึงอยู่บนสายแล้ว มิอาจไม่ปล่อยออกไป” ตอบแค่นี้โจโฉก็ให้อภัยแล้วซ้ำยังมอบตำแหน่งขุนนางให้อีกต่างหาก

            ชีวิตของโจโฉ ถือได้ว่าประสบความสำเร็จสูงสุด สามารถสร้างอิทธิพลครองพื้นที่หนึ่งในสามของประเทศจีน ความผิดพลาดครั้งใหญ่คือการปล่อยให้เล่าปี่หนีหลุดมือไปได้ ผลงานยอดเยี่ยมคือการรบชนะอ้วนเสี้ยวที่มีทหารมากกว่าตนถึง 10 เท่าในยุทธการกัวต๋อ พ่ายแพ้อย่างยังเยินที่สุดคือ การเสียท่าให้กับพันธมิตรเล่าปี่ ซุนกวนในยุทธการเซ็กเพ็ก ได้รับการยกย่องทั้งด้านวรรณกรรมและการบริหาร ถูกโจมตีเรื่องความโหดร้ายอำมหิต ไม่ว่าจะวิจารณ์อย่างไรล้วนแล้วแต่เป็นที่ถกเถียงกันไม่จบสิ้น เพราะเรื่องราวของโจโฉมีประเด็นให้ศึกษามากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ ถ้าสามก๊กขาดตัวละครโจโฉสักคนแล้ว หนังสือสามก๊กคงขาดเสน่ห์ไปอย่างสิ้นเชิง ...