โจโฉ จอมคนในสามก๊ก
โจโฉ (ค.ศ. 155-220)
เป็น “นักบริหาร” ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊
ความสามารถของโจโฉได้รับการยกย่องทั้งด้านวรรณกรรมและการเมืองการทหาร
โจโฉในวัยเด็กเป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบ
ฉลาดแกมเจ้าเล่ห์ พลิกแพลงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง
แต่ไม่ค่อยอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ ออกแนวเด็กมีปัญหา ชอบเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ
กับพรรคพวกร่วมก๊วนอย่างอ้วนเสี้ยว
แม้ในสายตาผู้อื่นแล้ว
โจโฉจะเป็นเด็กเหลือขอเพียงใด แต่ยังมีคนที่มองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวของโจโฉ
คนผู้นั้นคือ “เฉียวเสวียน” หรือเกียวเหี้ยน (ค.ศ.108-183)
เฉียวเสวียนคนนี้อายุมากกว่าโจโฉถึง 47 ปี และชื่นชมโจโฉมาก
ถึงขนาดคบหากันเป็นเพื่อนต่างวัย เฉียวเสวียนเห็นว่าโจโฉนั้นไม่ธรรมดา
และมักพูดกับคนรอบข้างว่า
“โจโฉผู้นี้ทำงานไม่ยึดแบบแผน แม้จะเกกมะเหรกเกเรบ้างตามประสาวัยรุ่น
แต่หาใช่นักเลงหัวไม้ไม่ เป็นคนมีปัญญาไหวพริบ มีหลักการ กล้าทำกล้าตัดสินใจ
ในกลียุคเช่นนี้ต้องอาศัยคนอย่างเขานี่แหละ”
และยังไม่เอ่ยกับโจโฉว่า “บ้านเมืองกำลังเข้าสู่กลียุค
ผู้ที่จะกอบกู้บ้านเมืองได้นั้น ต้องเป็นท่านอย่างแน่นอน”
เขาเฉียว
นักวิจารณ์ชื่อดังในยุคนั้น ได้วิจารณ์โจโฉว่า “ท่านนั้นเป็นยอดขุนนางยามผาสุก
เป็นทรราชยามกลียุค” คำวิจารณ์นี้ทำให้ผู้คนถกเถียงกันมาเกือบสองพันปีว่า
โจโฉนั้นเป็นยอดขุนนางผู้ภักดี หรือทรราชแห่งกลียุคกันแน่
ฝ่ายหนึ่งก็ว่าโจโฉเป็นยอดขุนนางค้ำชูยืดอายุราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ฝ่ายหนึ่งก็ว่าโจโฉเป็นทรราชที่คุกคามราชบัลลังก์
ต่างฝ่ายต่างอ้างเหตุผลมาสนับสนุนความคิดของตน
เมื่อมีอายุครบ
20 ปี โจโฉก็มีโอกาสเป็นข้าราชการฝึกหัด
และได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกองเมืองลั่วหยาง (ลกเอี๋ยง) ตอนเหนือ
มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตพื้นที่ เนื่องจากเมืองลั่วหยางเป็นเมืองหลวง
ผู้อาศัยมีตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาไปจนถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่และราชนิกูล
จะผ่อนผันกฎระเบียบก็ถูกชาวบ้านต่อว่า เข้มงวดกวดขันก็เจอเส้นก๋วยจั๊บอีก
แต่โจโฉก็พยายามทำหน้าที่เป็นอย่างดี มีการเปลี่ยนแปลงตกแต่งสถานที่ทำงาน
นำกระบองมาแขยนไว้ข้างประตูให้ดูขึงขังและติดประกาศไว้ว่า “ผู้ทำผิดกฎหมาย
ไม่ว่ายากดีมีจน ต้องถูกลงโทษสถานหนัก”
ครั้นมีผู้คิดจะลองของ คู่ความเป็นญาติผู้ใหญ่ของขันทีคนสนิทกษัตริย์เลนเต้
ถือดีว่ามีเส้นใหญ่ ดื่มเหล้าเมามายแล้วออกมาเดินโต๋เต๋บนถนน
ท้าทายคำสั่งประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านหลังสามทุ่มของราชสำนัก
โจโฉนั้นไม่ยอมอ่อนข้อจึงจัดการประหารตามกฎหมาย
นับแต่นั้นมาชื่อเสียงความเด็ดขายของโจโฉก็เป็นที่เลื่องลือ
เสน่ห์ของโจโฉ
โจโฉเป็นตัวละครที่มีสีสันที่สุดในวรรณกรรมสามก๊ก
มีอารมณ์ขันแอบซ่อนอยู่ในความเหี้ยมโหด ในเวลาปกติโจโฉมักจะหยอดล้อกับลูกน้องเพื่อฝูง
มีอยู่ครั้งหนึ่งโจโฉเดินทางไปเซ่นไหว้เฉียวเสวียนเพื่อนต่างวัยที่มองเห็นความเป็นจอมคนในตัวโจโฉตั้งแต่วัยหนุ่ม
โจโฉกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีแบบเชิงหยอกล้อว่า
ตาเฒ่าเฉียวเคยแกล้งขู่ว่า “หลังข้าตายไปแล้ว หากเจ้าโจโฉเดินผ่านหลุมฝังศพข้าแล้วไม่เซ่นข้าด้วยไก่สักตัว
สุราสักขวดละก็ ผ่านไปสามก้าวเกิดปวดท้องปวดไส้ขึ้นมา จะโทษข้าไม่ได้นะ”
ฟังดูสนิทสนมกินใจกว่าอ่านสุนทรพจน์อย่างเป็นทางการเสียอีก
โจโฉเป็นคนพูดจาเปิดเผย
ตรงไปตรงมาไม่ปิดบังได้เขียนแถลงการณ์ฉบับหนึ่งอย่างตรงไปตรงมาว่า “เดิมทีข้าหาได้เป็นคนทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงไม่
มีอุดมการณ์เพียงต้องการเป็นเจ้าเมืองที่ดีคนหนึ่ง
ต่อมาได้นำทัพจับศึกก็หวังเป็นแม่ทัพขุนศึก
แต่สถานการณ์กลังผลักดันให้มาอยู่ในตำแหน่งนี้
ลองคิดดูว่าหากแผ่นดินนี้ไม่มีข้าสักคน ไม่รู้จะแตกแยกขนาดไหน
จะมีคนเท่าใดตั้งตนเป็นอ๋อง กี่คนตั้งตนเป็นกษัตริย์
แน่นอนว่าลับหลังย่อมมีคนติฉินนินทา
แต่ข้าบอกกับพวกท่านอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาได้เลยว่า จะหวังให้ข้าปล่อยวางงานราชการ
ละทิ้งอำนาจทางการทหาร กลับบ้านเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานนั้นไม่มีทาง
ทำไมน่ะหรือ..ขืนเลิกเสียตอนนี้มีหวังบ้านเมืองวุ่นวาย ซ้ำยังมีหวังถูกคิดบัญชีย้อนหลัง
ฉะนั้นอำนาจในมือข้าไม่ปล่อย บ้านเมืองยังไม่สงบข้าไม่ยอมลงจากตำแหน่งอย่างแน่นอน”
ด้วยนิสัยขี้เล่นมีอารมณ์ขันตรงไปตรงมานี่เองที่มีส่วนช่วยให้โจโฉประสบความสำเร็จในทางการเมือง
ดังเช่น ครั้งหนึ่ง ติงเผย คนในหมู่บ้านเดียวกันกับโจโฉ เป็นคนละโมบ ขี้งก
ถูกปลดจากตำแหน่งเพราะใช้อำนาจหน้าที่สลับเปลี่ยนวัวตัวผอมโซที่ตนเลี้ยงกับวัวของหลวงที่อ้วยพี
พอเจอหน้ากัน โจโฉก็เรียกชื่อเล่นอย่างสนิทสนทและแกล้งถามไปว่า
“ตราแต่งตั้งตำแหน่งของเจ้าไปไหนเสียแล้วล่ะ”
ติงเผยตอบกลับอย่างเขินๆ ว่า “เอาไปแลกขนมเปี๊ยะมากินเสียแล้วท่าน”
โจโฉหัวเราะชอบใจแล้วพูดกับผู้ติดตามว่า
“มีหลายคนมาเซ้าซี้ให้ข้าลงโทษติงเผยสถานหนัก
แต่ข้าว่าเจ้าแมวขโมยที่จับหนูเก่งอย่างติดเผยนี้ เก็บไว้ยังมีประโยชน์อยู่นะ”
แม้แต่จดหมายที่เป็นทางการบางครั้งก็ยังสอดใส่อารมณ์ขัน
อย่างเช่น จดหมายเกลี้ยกล่อมเอี๋ยนสิง ตอนรบอยู่กับ ฮันซุย
บิดาของเอี๋ยนสิงถูกโจโฉจับเป็นตัวประกัน โจโฉเขียนจดหมายไปหาเอี๋ยนสิงมีใจความว่า
“บิดาของท่านยามนี้อยู่สุขสบายดี
แต่ห้องขังหาใช่สถานที่เหมาะสำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ไม่
และประเทศก็หามีหน้าที่ดูแลบิดามารดาให้ผู้ใดนานๆ ไม่”
โจโฉเน้นเรื่องการบริหารคน
โดยเฉพาะการคัดเลือกคนที่มีความสามารถ จัดคนให้เหมาะกับงานที่มอบหมาย ถือคติว่า
“ไม่ว่าแมวขาว แมวดำ จับหนูได้ก็เป็นแมวที่ดี”
นั่นคือการเลือกคนจากความสามารถโดยไม่ถืออคติต่อภูมิหลัง
ขอเพียงมีความสามารถตรงตามที่ต้องการ โจโฉจะเปิดโอกาสให้แสดงฝีมือเต็มที่
การเป็นลูกน้องโจโฉต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
จะมาเอ้อระเหยลอยชายไม่ได้ การแข่งขันภายในสูงมากเพราะเต็มไปด้วยคนเก่ง
ความที่เป็นรักคนเก่งๆ ของโจโฉ เห็นใครเก่งก็อดไม่ได้ที่จะดึงตัวมาอยู่เป็นพวก
ขนาดกวนอูฆ่าแม่ทัพนายด่านของโจโฉไปตั้งมากมายระกว่างทางกลับไปหาเล่าปี่
โจโฉยังให้อภัย หรือ
เห็นจูล่งแสดงความเก่งกล้าสามารถที่เนินเตียงปันก็สั่งห้ามทหารยิงลูกเกาทัณฑ์ใส่
โจโฉจึงมีทั้งกุนซือและยอดขุนพลมากที่สุด บุคลากรที่มีคุณภาพเปรียบเสมือนทรัพยากรสำคัญขององค์กร
จึงไม่น่าแปลกใจที่วุยก๊กจะเป็นกลุ่มที่เข้มแข็งที่สุดในยุคสามก๊ก
เกณฑ์ประเมินผลที่ยุติธรรมจะเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้
โจโฉวัดคนจากผลงาน ใครทำถูกใจก็ได้ความดีความชอบไป ใครผิดพลาดก็ถูกลงโทษ
ดังนั้นลูกน้องของโจโฉไม่ว่าเป็นใครมาจากไหนก็ได้โอกาสที่เท่าเทียมกัน
โจโฉนั้นรู้นิสัยและความสามารถของลูกน้องทุกคนเป็นอย่างดี
การมีลูกน้องเก่งเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ
คนเป็นหัวหน้ายังจำเป็นต้องรู้จักลูกน้องอย่างลึกซึ้ง
และจัดสรรหน้าที่ให้เหมาะสมกับความสามารถ
โจโฉเลือกคนไม่ยึดศักดินา ไม่ยึดพวกพ้องเครือญาติ วัดกันที่ความสามารถ
แถมยังเป็นเจ้านายที่กล้าทำกล้ารับ ตัดสินใจผิดพลาดรบแพ้กลับมาก็ไม่โทษลูกน้อง
รบชนะก็ยังยกความดีความชอบให้ลูกน้องอีกต่างหาก
มีคำพูดหนึ่งของโจโฉที่กลายเป็นสโลแกนประจำตัว “ข้ายอมทรยศต่อคนทั้งหล้า
แต่ไม่ยอมให้ผู้ใดทรยศข้า” บ่งบอกความเป็นผู้นำแบบเผด็จการที่เก่งจนน่ากลัวได้เป็นอย่างดี
โจโฉชื่นชมคนเก่งคนมีความสามารถ
แต่ไม่มีวันยอมให้คนเก่งมีความสามารถเหล่านั้นมาคุกคามตนเองได้ เพื่อบรรลุเป้าหมายในภายภาคหน้าแล้ว
โจโฉมีความอดทนมากพอที่จะละเว้นโทษให้แม้แต่ศัตรูที่ฆ่าลูกอย่างเตียวสิ้ว แต่โจโฉหาได้ใจกว้างให้อภัยศัตรูไม่
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ยังไม่อำนวยหรือยังมีประโยชน์ใช้งานได้อยู่จึงต้องละเว้นไว้ก่อน
โจโฉละเว้นเฉพาะคนที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเท่านั้น ในทางกลับกัน
หากทำตัวเป็นภัยคุกคามหรือหมดประโยชน์วันใด
โจโฉก็ไม่ลังเลที่จะกำจัดให้พ้นทางในทันที ตัวตัวอย่างจุดจบของซุนฮกและเอียวสิ้ว
จริงๆ
แล้วโจโฉไม่ใช่คนใจจืดใจดำ ขอเพียงมีความสามารถจริงทำงานทุ่มเท รู้กาลเทศะไม่ขัดคอ
ไม่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัย โจโฉดูแลอย่างดี ดูอย่างตันหลิม
ที่เป็นคนร่างจดหมายด่าโจโฉให้กับอ้วนเสี้ยวจนโจโฉเหงื่อตกใจศึกกัวต๋อ จบศึกตันหลิมถูกจับได้
โจโฉถามเพียงด่าข้าคนเดียวก็น่าจะเพียงพอ
แล้วเหตุใดเจ้าต้องด่ากันถึงสามชั่วโคตรเล่า ตันหลิมสารภาพบาปไปว่า
“เกาทัณฑ์ขึงอยู่บนสายแล้ว มิอาจไม่ปล่อยออกไป”
ตอบแค่นี้โจโฉก็ให้อภัยแล้วซ้ำยังมอบตำแหน่งขุนนางให้อีกต่างหาก
ชีวิตของโจโฉ
ถือได้ว่าประสบความสำเร็จสูงสุด
สามารถสร้างอิทธิพลครองพื้นที่หนึ่งในสามของประเทศจีน
ความผิดพลาดครั้งใหญ่คือการปล่อยให้เล่าปี่หนีหลุดมือไปได้
ผลงานยอดเยี่ยมคือการรบชนะอ้วนเสี้ยวที่มีทหารมากกว่าตนถึง 10 เท่าในยุทธการกัวต๋อ
พ่ายแพ้อย่างยังเยินที่สุดคือ การเสียท่าให้กับพันธมิตรเล่าปี่
ซุนกวนในยุทธการเซ็กเพ็ก ได้รับการยกย่องทั้งด้านวรรณกรรมและการบริหาร
ถูกโจมตีเรื่องความโหดร้ายอำมหิต
ไม่ว่าจะวิจารณ์อย่างไรล้วนแล้วแต่เป็นที่ถกเถียงกันไม่จบสิ้น
เพราะเรื่องราวของโจโฉมีประเด็นให้ศึกษามากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ
ถ้าสามก๊กขาดตัวละครโจโฉสักคนแล้ว หนังสือสามก๊กคงขาดเสน่ห์ไปอย่างสิ้นเชิง ...