วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เจ็บป่วยไม่มีความหมาย หากเข้าใจการป้องกัน ตอนที่ 4



ปัจจัยเกื้อหนุนอะไรบ้างที่ไปส่งเสริมให้อนุมูลอิสระถูกผลิตมากขึ้น
1.) ความเครียด
ความเครียดทางอารมณ์และกายทำให้อนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ความเครียดเพียงเล็กน้อยคงไม่ทำให้เพิ่มมาก แต่ความเครียดมากหมายถึง การตอบสนองทางอารมณ์มาก จะทำให้มีอนุมูลอิสระเพิ่มมาก ความเครียดทำให้มีการเผาผลาญพลังงานมาก อนุมูลอิสระจึงเกิดมาก

2.) มลพิษในอากาศ
เป็นภาวะที่เกิดมากในยุคปัจจุบัน มลภาวะในอากาศประกอบด้วย ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) โอโซน (O3) โมเลกุลของไฮโดรคาร์บอน (hydrocarbon molecules) ต่างๆ ควันเขม่า ฝุ่นละเอียด คาร์บอนมอนน๊อคไซด์ (CO) ฯลฯ ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ

สารอันตรายในอากาศเหล่านี้เป็นผลผลิตก่อขึ้นโดยมนุษย์ อาทิเช่น ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ จากโรงงานอุตสาหกรรม จากการเผ่าป่าไม้ จากการเผาขยะซึ่งมีขยะพลาสติกอยู่ด้วย

การใช้ยาฆ่าแมลง ฆ่าวัชพืช ฉีดทำให้กระจายปนเปื้อนในอากาศ ทั้งนี้ความทั้งการใช้สารเคมีในอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้แพร่กระจายไปในอากาศ ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื้อรังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีควันเสียจากรถยนต์มาก และถ้าอยู่ใกล้ป่าที่มีการเผาทำลายจะยิ่งได้รับควันพิษเหล่านี้มาก พบว่า เมืองที่มีการถ่ายเทอากาศไม่ดี จะมีสถิติการเกิดมะเร็งปอดสูงกว่าเมืองอื่นที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก มลภาวะในอากาศก่อให้เกิดโรค เช่น หอบหืด แพ้อากาศ หลอดลมอักเสบ โรคหัวใจ และมะเร็ง เป็นต้น ฝุ่นละอองในอากาศที่ทำให้เกิดโรคเฉพาะอาชีพนั้นๆ เช่น กรรมกรที่ทำเหมืองแร่, กรรมกรโรงงานอุตสาหกรรมได้รับสารเคมีต่างๆ หลายชนิด เช่นมะเร็งเยื่อหุ้มปอด ฯลฯ

3.) ควันบุหรี่
เราอาจคิดว่ามลพิษในอากาศที่กล่าวมามีอันตรายมาก แต่สำหรับผู้สูบบุหรี่แล้วควันบุหรี่ร้ายแรงยิ่งกว่า ดังที่ทราบกัน การสูบบุหรี่ทำให้เกิดถุงลมโป่งพอง โรคหอบหืด หลอดลมอักเสบ โรคหลอดเลือดแข็ง และที่ร้ายแรงคือ มะเร็งปอด สารพิษที่มากับควันบุหรี่คือ นิโคติน น้ำมันดิน สารปนเปื้อนอื่นๆ เช่น สารเคมี สารโลหะหนัก นอกจากนี้ผู้ที่ไม่ได้สูบเองแต่อยู่ในที่มีผู้อื่นสูบเป็นประจำและห้องอับ ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เรียกกันว่า ผู้สูบบุหรี่มือสอง สารที่อยู่ในควันบุหรี่เหล่านี้ ก่อนให้เกิดอนุมูลอิสระและเป็นพิษ การงดสูบบุหรี่จะดีที่สุด ผู้ที่ยังงดไม่ได้ ก็ให้รับประทานผัก-ผลไม้มากๆ และรับประทานวิตามินซี ปริมาณสูงและแอนติออกซิแดนท์อื่นๆ จะช่วยได้

4.) น้ำและอาหารที่ปนเปื้อน
จากการพัฒนาประเทศสู่อุตสาหกรรมและการเกษตรที่ใช้สารเคมีอย่างมาก สารเคมีต่างๆ ที่ใช้จะปนเปื้อนแทรกซึมสู่แหล่งน้ำ แม้แต่น้ำฝนก็ปนเปื้อนเพราะสารเคมีเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ เมื่อฝนตกลงมา ก็จะซะเอาสารเคมีปนเปื้อนไปด้วย เราไม่สามารถรู้ได้ว่าน้ำที่เราบริโภคนั้นสะอาดแค่ไหน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีสารเคมีผลิตขึ้นมากกว่า 60,000 ชนิด ปีละประมาณ 1,000 ชนิด เช่น สารกำจัดวัชพืช สารกำจัดแมลง สารกำจัดเชื้อรา ที่ใช้ในการผลิตอาหาร สารเคมีเหล่านี้รวมทั้งโลหะหนัก เมื่อรับประทานเข้าไปก่อให้เกิดออกซิเดตีฟ สเตรส (oxidative stress) เป็นอันตรายมากต่อสุขภาพ สารเคมีเหล่านี้ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตอาหารผลิตได้จำนวนมหาศาล แต่ต้องแลกกับสุขภาพของประชาชน สำหรับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ปรุงด้วยการปิ้ง ทอด เผา ทำให้บางส่วนอาจไหม้เกรียมหรือเกิดควันติดค้างไปกับอาหาร หรือการทอดในน้ำมันซ้ำหลายๆ ครั้งเหล่านี้ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง เมื่อรับประทานย่อมเป็นอันตรายเพราะเป็นสารเคมีที่ทำให้เกิดออกซิเดตีฟ   สเตรส การรับทานบ่อยครั้งจะมีอันตราย เพิ่มปัจจัยเสี่ยง จึงควรหลีกเลี่ยง การดื่มน้ำสะอาดจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ผักต้องล้างให้ดีก่อนบริโภค ล้างในน้ำด่างหรือล้างในน้ำที่ผสมน้ำยาล้างผักจะช่วยได้

5.) ยาและรังสี
ยาทุกชนิดที่เรารับประทานส่วนใหญ่คือ สารเคมี และเป็นสารแปลกปลอม ซึ่งร่างกายต้องย่อยสลายและขจัดออกไป จึงไปทำอันตรายต่อขบวนการย่อยสลายที่ตับและส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ เป็นการไปเพิ่มออกซิเดตีฟ สเตรส เพิ่มอนุมูลอิสระ ปัจจุบันทั่วโลกใช้ยาจำนวนมาก จำนวนหนึ่งเกิดผลข้างเคียงและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

รังสีซึ่งในในการรักษาโรคมะเร็งนั้นมีคุณสมบัติทำให้มีการแตกตัวของไอออน (ion) ของธาตุที่เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อ-เซลล์ (ionization) มีอันตรายทั้งต่อเซลล์มะเร็งและเซลล์ปกติที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นการทำให้เกิดออกซิเดตีฟ สเตรส ต่อเซลล์ เกิดอนุมูลอิสระนอกจากนี้เรายังได้ใช้เอกซเรย์และสารกัมมันตรังสีในการวินิจฉัยและรักษาโรค จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องป้องกันอย่างดี และไม่ใช้เกินความจำเป็น


6.) รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ (Ultraviolet sunlight)
แสงอาทิตย์มีประโยชน์มหาศาล เราต้องการแสงอาทิตย์เพื่อกระตุ้นวิตามิน ดี ซึ่งจำเป็นในการทำให้กระดูกและฟันมีสุขภาพและช่วยป้องกันมะเร็ง แต่ถ้าได้รับมากเกินไป ก็จะเป็นอันตราย โดยเฉพาะคนผิวขาว สำหรับคนผิวสี เช่น คนไทย เม็ดสีในผิวหนังเมลานิน (melanin) ช่วยป้องกันได้บ้าง เนื่องจากบรรยากาศระดับสูงมีโอโซน (ozone) ช่วยกั้นและลดปริมาณรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งถ้ามีปริมาณมากจะมีอันตรายเพราะจะไปลดภูมิคุ้มกันของเซลล์ (cellular immunity) ลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ปัจจุบันชั้นโอโซนถูกทำลายไปมากทำให้บางลงและมีรูโหว่ ทั้งนี้เนื่องจากมีการใช้สารคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (chloro-fluorocarbons) จากการใช้สเปรย์ชนิดต่างๆ และใช้ในการทำความเย็น เช่น ฟรีอ้อน (Freon) รั่วซึมออกมาลอยไปสู่บรรยากาศทำลายชั้นโอโซน รังสีอัลตราไวโอเลตเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังในคนผิวขาวจำนวนมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (U.S. Environmental Protection Agency) ประมาณว่า ชั้นบรรยากาศโอโซนจะลดลง 40% ในปี 2075 ส่งผลให้มีผู้ป่วยเป็นมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น 154 ล้านราย และเสียชีวิต 3.4 ล้านรายทั่วโลก

แสงอาทิตย์เป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดต้อกระจก รังสีอัลตราไวโอเลตบี (ultraviolet B, UVB) เป็นตัวสำคัญ แต่รังสีอัลตราไวโอเลตเอ (UVA) ก็มีส่วนด้วย รวมทั้งแสงแถบสีน้ำเงินที่ตามมองเห็น (visible blue light) เมื่อได้รับปริมาณที่สูงทำให้อัตราการเกิดต้อกระจกเพิ่มขึ้น 60% ในปัจจุบันมีคนเป็นต้อกระจกทั่วโลก 20 ล้านคน และเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดครึ่งหนึ่งของตาบอดทั้งหมด นอกจากนี้ UV ยังทำอันตรายต่อประสาทรับภาพเรตินา (retina) อีกด้วย ฉะนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัดนานๆ แสงแดดตอนเช้าไม่แรง ได้รับในช่วงเวลาสั้นๆ จะมีประโยชน์ หากต้องถูกแสงแดดจัดเป็นเวลานานๆ ควรป้องกันด้วยร่มที่ป้องกันรังสี UV ใช้แว่นกันแดดเสมอ ใช้ครีมป้องกันรังสี UV ทาผิวหนังเมื่อต้องถูกแดดจัดเป็นเวลานาน นอกจากนี้ การรับประทานแอนติออกซิแดนท์จะช่วยป้องกันได้

7.) โลหะที่เป็นพิษ (Toxic metals)
สารโลหะหนักนั้นปนเปื้อนดินและน้ำโดยทั่วจากการพัฒนาประเทศไปสู่อุตสาหกรรม ในประเทศไทยจะพบปริมาณโลหะหนักอยู่ในดินและน้ำ ได้แก่ สารตะกั่ว ทองแดง โคบอลท์ ปรอท อะลูมิเนียม และแคดเมียม ฯลฯ สารเหล่านี้ยังมีอยู่ในเครื่องสำอาง อุปกรณ์ทำครัว น้ำยาซักผ้า สีบางชนิด พลาสติก ยาขัดมัน สารละลายและสารอุดฟัน (รุ่นเก่า) สารเหล่านี้มีพิษมากเพราะมันสะสมตกค้างอยู่ในร่างกาย เมื่อรับเข้าไปจะไปยึดติดกับเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างกันไป เช่น ปรอทเข้าไปยึดกับเซลล์ประสาทส่วนกลาง อะลูมิเนียมที่เซลล์สมอง และอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ส (Alzheimer’s disease) ตะกั่วไปทำลายสมองทำให้ปัญญาต่ำ เป็นโรคปัญญาอ่อนและยังไปยึดที่กระดูกยับยั้งการเติบโต แคดเมียมจะไปแทนที่สังกะสีซึ่งมีประโยชน์ และเก็บไว้ในร่างกายที่ตับและไต ทำให้ปริมาณลดลง เป็นการไปกดภูมิคุ้มกัน แคดเมียมในควันบุหรี่ ปนเปื้อนในข้าว กาแฟ ชา เครื่องดื่มหลายชนิด สารกำจัดแมลงในพลาสติก ดินและน้ำดื่ม เพื่อสุขภาพจึงควรระมัดระวังหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้สารเหล่านี้ และมีอีกวิธีหนึ่งคือการได้รับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยต่อต้านและขจัดโลหะหนักได้ ซึ่งถือว่าเป็นการป้องกัน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำหน้าที่ขจัดโลหะแต่ละชนิดโดยย่อดังนี้

-      ซิสเตอีน (cysteine) จะรวมกันทองแดงในเลือด และดึงโลหะหนักออกจากอวัยวะ
-      ซีลีเนียม กลูตาไธโอน และเมไธโอนีน (selenium, glutathione & methionine) ช่วยสลายพิษจากโลหะ วิตามินอีช่วยส่งเสริมซีลีเนียมในการสลายพิษ
-      กระเทียม จะจับตัวกับโลหะพิษเพื่อขจัดออกจากร่างกาย
-      แคลเซียม ช่วยป้องกันการจับตัวของตะกั่วในร่างกายและป้องกันการดูดซึมของอะลูมิเนียม
-      วิตามินซีในขนาดสูง ช่วยขจัดพิษและขับออกจากร่างกาย
-      สังกะสี ป้องกันการเพิ่มของแคดเมียม

8.) การละเมิดกฎธรรมชาติ ได้แก่

-      การรับประทานอาหารหรือปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า อาหารที่รับประทานเป็นต้นเหตุของการเสียสุขภาพและโรคเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดแข็ง เบาหวาน กระดูกพรุน หรือ มะเร็ง ก็ตาม ควรเลี่ยงอาหารรสจัด ไขมันสูง โปรตีนจากเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก และอาหารหวานจัด คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม ไม่รับประทานอาหารพร่ำเพรื่อ ประการสำคัญ อาหารที่รับประทานสัดส่วนของอาหารชนิดต่างๆ ควรเหมาะสม และไม่ขาดสารอาหารที่จำเป็น เช่น วิตามิน กรดไขมันจำเป็นและสารต้านอนุมูลอิสระ
-      การรับรู้สัมผัสไม่ถูกต้อง คือ การรับรู้สัมผัสทั้งห้า คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสที่ไม่ถูกต้อง เพราะอายุรเวท (การแพทย์แผนโบราณของอินเดีย) ถือว่า การรับรู้สัมผัสนั้นให้พลังงานอย่างละเอียดไปเสริมสร้างเนื้อเยื่อแห่งร่างกาย ชีวิต และจิตวิญญาณ เช่น การฟังดนตรีเสียงดัง จังหวะรุนแรง ฯลฯ เป็นผลเสียต่อสุขภาพ
-      การละเมิดระดับปัญญา ความคิด การพูด และการกระทำไม่ดี ความโลภ อิจฉา ความโกรธ ความกลัว หลง ความวิตกกังวล ฯลฯ เป็นผลให้เสียสุขภาพ
-      การละเมิดเกี่ยวกับเวลา ในข้อนี้มีพื้นฐานจากการที่ธรรมชาติปรับเปลี่ยนไปตามการโคจรของดวงดาว ยังผลให้โลกเปลี่ยนแปลง เช่น กลางวัน กลางคืน และฤดู บรรยากาศ (ธรรมชาติ) ของโลกก็เปลี่ยนไปด้วย รวมทั้งคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ขบวนการชีวเคมีในร่างกายของเราก็ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา การปฏิบัติตน พฤติกรรม หรือวิถีชีวิตของเราที่สอดคล้องกับธรรมชาติ จึงเป็นการรักษาสุขภาพ

การละเมิดกฎธรรมชาติทั้ง 4 ข้อนั้น เป็นสาเหตุให้การดำเนินไปของร่างกาย อวัยวะ เซลล์ บกพร่องผิดพลาด ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ระดับโมเลกุลและเซลล์จนถึงอวัยวะในระบบ ทำให้ร่างกาย อวัยวะ เซลล์ได้สูญเสียความสามารถในการดำเนินไปให้ได้ผลดีตามธรรมชาติที่ได้สร้างสรรค์กำหนดไว้ให้ อายุรเวทเรียกว่า ประเกียอะปะราดห์ (pragya-aparadh) แปลได้ว่าเกิดผิดพลาดที่ภูมิปัญญา ตามธรรมชาติแล้วเซลล์และอวัยวะได้ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่ได้ถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอเป็นไปตามกฎธรรมชาติ (natural law) หรือกลมกลืนกับกฎธรรมชาติที่ควบคุมจักรวาลซึ่งเราเป็นส่วนหนึ่ง เราได้รับการออกแบบให้มีชีวิตดำเนินไปตามระเบียบที่สมบูรณ์แบบ ก่อเกิดพลังงานภายในอย่างมากมายและเพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์

9.) การออกกำลังกายมากเกินไป (Excessive exercise)
การออกกำลังกายเป็นดาบสองคม อย่าคิดว่าการออกกำลังกายอย่างเดียวนั้นเพียงพอที่จะป้องกันอนุมูลอิสระหรือมีสุขภาพได้ แต่ในทางกลับกัน การออกกำลังกายกลับไปเพิ่มระดับของอนุมูลอิสระได้เช่นเดียวกัน น.พ.เคนเนธ คูเปอร์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแอโรบิคเอกเซอร์ไซส์ (aerobic exercise) และเวชศาสตร์ป้องกันได้เน้นว่า การออกกำลังกายมากรุนแรงเกินไปทำให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระมากขึ้น และเสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยโรคหัวใจจู่โจม (heart attack) สโตรค (stroke) และมะเร็ง โดยเฉพาะเมื่อทำต่อเนื่องเป็นปีๆ ทำให้เป็นหวัด หรือเจ็บคอ คออักเสบได้ง่าย ดังเราจะเห็นผู้ออกกำลังกายมาก เช่น นักวิ่งมาราธอนนานๆ มีหน้าตาร่างกายอิดโรย ดูแกร่งแต่หน้าแก่

ดังนั้น ควรออกกำลังกายพอประมาณ และรับประทานแอนติออกซิแดนท์เสริม โดยเฉพาะผู้ที่ออกกำลังมาก

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
อาจารย์ ศ.นพ.เฉลียว ปิยะชน
ประธานมูลนิธิต่อต้านโรคมะเร็ง ภาคเหนือ
อาจารย์พิเศษคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รังสีแพทย์ โรงพยาบาลลานนา เชียงใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น