น้ำมันปลา … ประโยชน์ที่ไร้มลพิษจากทะเล
ประโยชน์ของกรดไขมันจำเป็นชนิดไม่อิ่มตัว
โอเมก้า-3 ในน้ำมันจากปลาทะเลน้ำหนาว ซึ่งได้แก่ EPA ( eicosapentaenoic
acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) ในด้านการป้องกันและบรรเทาอาการโรคต่างๆ
มากมาย อาทิเช่น โรคเกี่ยวกัวหัวใจ, โรคหลอดเลือด, สโตร็ค (stroke), เบาหวาน, ข้ออักเสบ, หอบหืด, โรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง เช่น SLE เรื้อนกวาง แม้กระทั่งโรคมะเร็ง
เป็นเรื่องที่นักวิจัยยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อรายงานผลที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์
ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังแนะนำให้ทุกคนรับประทานปลาทะเลอย่างน้อยสัปดาห์ละ
1 ครั้ง เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของหลอดเลือดและหัวใจ
และลดอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว
แต่หากได้อ่านงานการศึกษาเหล่านั้นอย่างละเอียดจะเห็นว่า
การรับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้เกิดประโยชน์ตามผลงานการกับโรคหลอดเลือดหัวใจ,
ข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคข้ออักเสบ และอื่นๆ จะแนะนำให้รับประทาน EPA และ DHA รวมกันให้ได้วันละ 2,000–5,000 มิลลิกรัม
สมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกา (The American Heart Association) แนะนำให้ผู้ใหญ่ที่ยังมีสุขภาพดีควรได้รับ EPA+DHA
วันละ 650-1,000 มิลลิกรัม องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้รับประทานวันละ
300-500 มิลลิกรัม
การรับประทานปลาแต่ละชนิดก็ให้ปริมาณ
EPA/DHA แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ปลาแซลมอนธรรมชาติ
กินแพลงตอนและสาหร่ายทะเลที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ชนิด ALA
ทำให้ปลากลุ่มนี้อุดมไปด้วยกรดไขมัน EPA และ DHA ส่วนปลาแซลมอนเลี้ยงได้กินอาหารจากฟาร์มที่ทำจากถั่วเหลือง, ข้าวโพด,
รำข้าว ทำให้มีไขมันที่มีโอเมก้า-6 สูง
น้ำมันปลาแคปซูลชนิด
โลว์-เอนด์
(Low-End grade) และ ไฮ-เอนด์ (Hi-End grade)
น้ำมันปลาชนิดไฮ-เอนด์
หรือบางครั้งเรียกว่า “น้ำมันปลาเกรดยา” มีปริมาณ EPA และ DHA
สูงกว่าชนิดโลว์-เอนด์ การรับประทานน้ำมันปลาชนิดโลว์-เอนด์ที่ 1
แคปซูลหนัก 1,000 มิลลิกรัม จะมี EPA อยู่ 180 มิลลิกรัม และ
DHA อยู่ 120 มิลลิกรัม
นอกนั้นเป็นกรดไขมันหลายชนิดและคอเลสเตอรอล หากว่าต้องการรับประทานตามที่นักวิจัยแนะนำเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย
เพื่อให้ได้ EPA+DHA จำนวน 1,500 มิลลิกรัม ต้องรับประทานถึง
5 แคปซูล ซึ่งอาจทำให้เรอ หรือลมหายใจมีกลิ่นคาวปลา หรืออาจทำให้ท้องร่วงเกิดขึ้น
แต่การรับประทานชนิดไฮ-เอนด์นั้น ซึ่งใน 1 แคปซูลมี EPA อยู่
330 มิลลิกรัม และมี DHA อยู่ 220 มิลลิกรัม
ก็สามารถรับประทานเพียง 3 แคปซูลเกินพอ
ความแตกต่างที่สำคัญของเกรดไฮ-เอนด์
และโลว์-เอนด์ คือ ความบริสุทธิ์ของน้ำมันปลาจากสารพิษปนเปื้อน
แม้องค์การอาหารและยา (อย.) จะกำหนดมาตรฐานแสดงค่าสิ่งปนเปื้อนที่ยอมรับได้ในผลิตภัณฑ์ทุกชนิดเอาไว้แล้ว
แต่มาตรฐานของโรงงานที่ผลิดน้ำมันปลาเกรดไฮ-เอนด์
สามารถมีขบวนการผลิดที่สกัดเอาสารพิษออกไปได้มากกว่า
แม้จะต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบในการผลิตมากขึ้น (1 แคปซูลของน้ำมันปลาชนิดไฮ-เอนด์
ใช้วัตถุดิบเป็น 3 เท่าของชนิดโลว์-เอนด์ 1 แคปซูล)
โลหะหนักและสารพิษในปลาทะเล
ในท้องทะเลอุดมไปด้วยสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม,
ยาฆ่าแมลงที่ไหลมาจากบนบก ปนมากับน้ำในแม่น้ำลำคลอง ในที่สุดก็จะจบลงที่ทะเล
ทำให้ปลาและอาหารทะเลมีสารพิษเช่น สารปรอท, ตะกั่ว, PCBs,
ไดออกซิน ปะปนอยู่ในเนื้อ ไขมัน และหนังของปลา และสัตว์ทะเล
เมื่อเราบริโภคอาหารทะเลเข้าไปก็ได้รับสารพิษดังกล่าวเข้าไปด้วย
PCBs (polychlorinated biphenyls)
เป็นสารเคมีที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่น เป็นสารพิษตกค้างจากอุปกรณ์ไฟฟ้า
ที่ถูกระงับใช้ในปี ค.ศ. 1976 เพราะมีความเป็นพิษต่อมนุษย์อย่างมาก
แต่ก็ยังตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมอีกนานหลายปี ในที่สุดความเป็นพิษของ PCBs ก็จะสิ้นสุดที่ทะเล
สารปรอท เมื่อไปอยู่ในน้ำหรือน้ำทะเลจะถูกแบคทีเรียที่ก้นทะเลเปลี่ยนให้กลายเป็น
เมททิลเมอคิวรี่ (methymercury) ซึ่งถูกใช้เป็นอาหารในห่วงโซ่อาหารชั้นล่างสุดเหมือนๆ
กับแพลงตอน ปลาเล็กปลาน้อยก็จะมากิน จากนั้นปลาใหญ่ก็มากินปลาเล็กอีก
คนก็กินปลาต่อไปก็ได้รับสารพิษจากปรอทโดยทั่วหน้ากัน
การปรุงอาหารให้สุกไม่สามารถทำให้พิษเหล่านี้สูญหายไปได้ PCBs
สะสมอยู่ในชั้นไขมันของปลาและอาหารทะเลทั้งหลาย
หากจะรับประทานปลาก็ต้องลอกหนังและชั้นไขมันออกเพื่อให้สารพิษออกไปเสียบ้าง
แต่ก็ทำให้โอเมก้า-3 หรือน้ำมันปลาก็ถูกลอกออกไปด้วยเช่นกัน
ส่วนสารปรอทไม่สามารถขจัดออกได้อย่างง่ายเช่นกัน จะต้องใช้ขบวนการที่เรียกว่า
“โมเลกุลาดิสทิลเลชั่น (molecular distillation)”
ที่อยู่ในขบวนการทำอาหารเสริมน้ำมันปลา ขบวนการนี้เป็นกรรมวิธีที่ทำภายใต้สุญญากาศ
ที่อุณหภูมิต่ำมากและใช้เอ็นไซม์ที่จะเอาโลหะหนัก, ไวตามินบางชนิด
และไขมันอิ่มตัวออกไป เหลือไว้แต่กรดไขมันจำเป็นโอเมก้า-3 ที่ต้องการ
อ้างอิง : Joseph C. Maroon, M.D. and Jeffrey Bost, P.A.C. Fish
oil the natural anti-inflammatory, Basic Health Publications, Inc.2006
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น